วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

6 อาหารที่คนเป็นโรคไต กินได้ แต่หลายคนเข้าใจผิด 

คิดว่ากินไม่ได้ !


เนย, ขนมปัง, ชา, กาแฟ เป็นโรคไต กินได้ไหม ?

เชื่อว่า บางคนก็ตอบว่า “ได้” และตอบว่า “ไม่ได้”

แต่จะได้ หรือ ไม่ได้ และเพราะอะไร เรามาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ ^^


ตอนนี้ ผู้ป่วยไตเสื่อม คงคิดหนัด เพราะมีอาหารหลายอย่าง ที่ตอนนี้เราอาจจะเข้าใจผิด
คิดว่าเป็น โรคไต แล้ว กิน อาหารเหล่านี้ ไม่ได้

และมีคำถามเหล่านี้มาเยอะมาก ๆ ไม่ว่าจะจากคนที่เจอตามที่ฟอกไต หรือแชทเข้ามาคุยในเพจก็ตาม


จึงได้เกิด มีบทความนี้ ล้วนมาจากเรื่องที่เข้าใจผิดกันเยอะมาก ๆ และเป็นคำถามที่เจอประจำ

เพราะฉนั้น บทความนี้คงเป็นข่าวดีสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม ที่ชื่นชอบอาหาร 6 อย่างนี้ แต่คิดว่ากินไม่ได้

1.เนย (Butter)


เชื่อไหมคะ ว่าจริง ๆ แล้ว เนย มีฟอสฟอรัสต่ำ

หลายคนอาจจะ เข้าใจว่ากินไม่ได้? จากที่ฟังใครๆบอกมา

เพราะมีฟอสฟอรัสสูง ไม่ว่าจะเป็น คุณหมอ คุณพยาบาล หรือตำราหลาย ๆ เล่มก็บอกว่า คนไตเสื่อม
กินไม่ได้


..แต่ความจริงก็คืออะไร อย่างไร มาดูกันค่ะ

จริงๆ แล้ว “เนย” ทำมาจากไขมันนม ไม่ใช่ทำจากนม อย่างที่หลายคนเข้าใจ เนื่องจากส่วนไขมันจากนม จะมีฟอสฟอรัสที่ต่ำกว่า นม

ส่วน "ชีส" อันนี้ทำมาจากนม ก็จะมีปริมาณฟอสฟอรัส ที่สูงกว่านั่นเอง (เนย ที่ มีฟอสฟอรัสสูง ที่จริงแล้ว คือ เนยแข็ง ค่ะ)

โดย "เนย" ที่นิยมใช้กันจะมีสองตัว คือ


1. เนยเค็ม ตัวนี้เป็นเนยทาขนมปัง และใช้ทำเบเกอรี่ ทำขนม มากที่สุด จึงไม่แนะนำให้คนที่เป็น
โรคไตเสื่อมทาน เพราะ "เนยเค็ม" จะมีการใส่เกลือลงไปด้วย เลยออกมาเป็นเนยเค็ม และก็จะมีโซเดียมจะสูงไปด้วยค่ะ


2. เนยจืด ตัวนี้เป็นตัวที่แนะนำผู้ป่วยไตเสื่อม ทานได้ค่ะ แต่ ต้องเลือกยี่ห้อ และดู ส่วนประกอบด้วย เพราะบางยี่ห้อ ก็จะผสมนมลงไป ผสมน้ำ ผสมน้ำมัน หรือมีการแต่งเติมรสด้วยสารต่าง ๆ ทำให้มีปริมาณฟอสฟอรัส ที่สูงอยู่

แต่ถ้าเป็นเนยสดแท้ แบบ 100% ก็จะมี ปริมาณฟอสฟอรัส ที่ต่ำค่ะ


**เนยจืด 100 กรัม มีฟอสฟอรัส 24 mg. (ถ้าฟอสฟอรัสต่ำ ค่าจะไม่เกิน 50 mg.)


2.น้ำเต้าหู้ (Soy Milk)


จริง ๆ แล้ว อ้อมอยากจะบอกว่า น้ำเต้าหู้ ผู้ป่วยโรคไตเสื่อม สามารถดื่มได้ เพราะถึงแม้จะทำจากถั่วเหลือง ซึ่งดูแล้วจะมีปริมาณ ฟอสฟอรัสน่าจะสูง ใช่ไหมคะ ?

ความเข้าใจผิดข้อนี้ เรามาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆเลยค่ะ ส่วนของถั่วเหลือง ที่ฟอสฟอรัสสูงนั้น

อยู่ตรงเปลือกแข็ง ๆ ข้างนอก เพราะงั้นถ้าเรากินถั่วเหลืองทั้งเมล็ด เราจะได้รับปริมาณฟอสฟอรัสที่สูงแน่นอนค่ะ

แต่วิธีการทำน้ำเต้าหู้ เราไม่ได้ กินกาก ได้มีการเอากากทิ้ง เหลือแต่ส่วนที่เป็นน้ำ แถมยังเอาไปเจือจางต่ออีกด้วย

ดังนั้น จึงมีปริมาณฟอสฟอรัส ที่เหลืออยู่น้อยนิดค่ะ ตามปริมาณที่คู่มือควบคุมปริมาณฟอสฟรัส
ที่แนะนำคือ น้ำเต้าหู้ 240 ml. จะมีฟอสฟอรัสอยู่เพียง 40 mg. เท่านั้น ซึ่งถือว่าต่ำค่ะ


แต่คำแนะนำเพิ่มเติม คือ ต้องเป็นน้ำเต้าหู้ที่ทำสด และเป็นน้ำเต้าหู้แท้ ๆ ที่ไม่ผสมนมอื่น

เพราะนม ชนิดต่างๆ นี่ละค่ะ ที่จะทำให้ฟอสฟอรัสสูงได้



**น้ำเต้าหู้ 240 ml. มีฟอสฟอรัส 40 mg.  (ถ้าฟอสฟอรัสต่ำ ค่าจะไม่เกิน 50 mg.)


3.แป้งสาลี (Wheat Flour)


แป้งสาลี มีอยู่  3 ชนิด แบ่งออกเป็น แป้งสาลีเอนกประสงค์ แป้งเค้ก และ แป้งขนมปัง

โดยแบ่งตามปริมาณโปรตีนค่ะ ซึ่งแป้งที่แนะนำจะเป็น แป้งสาลีเอนกประสงค์ และแป้งเค้ก

เพราะมีโปรตีนไม่สูงมาก รวมถึงฟอสฟอรัสจะต่ำด้วย



เวลาที่เราได้ยินคนบอกมาว่า ห้ามกินอาหารที่ใช้แป้งสาลี จริง ๆ แล้วต้องดูด้วยค่ะว่า

ขนมนั้นใช้แป้งสาลีชนิดไหน และถ้าเรากินในปริมาณน้อย ก็จะไม่ส่งผลอะไรกับเราแน่นอนค่ะ

ซึ่งวิธีการทำแป้งสาลีนั้น จะใช้เมล็ดข้าวสีขาว เอาจมูกข้าวออกแล้ว (แป้งสาลีเลยมีสีขาว)

จึงทำให้มีปริมาณ ฟอสฟอรัส และสารอาหาร เยอะ กว่าพวกแป้งโฮลวีท ที่ใช้ข้าวสาลีเต็มเมล็ดมาโม่
(สีเลยจะออกมาเหลืองน้ำตาล)


โดย แป้งขนมปัง จะผ่านการโม่แค่รอบเดียว เป็นการโม่แบบหยาบสุด สารอาหารต่าง ๆ เลยยังมีเยอะ

ส่วน แป้งสาลีเอนกประสงค์ ก็ผ่าน 2 รอบ และ แป้งเค้ก ผ่าน 3 รอบ เราสามารถสังเกตได้จาก
แป้งเค้กจะมีเนื้อ เนียน ละเอียดสุด และเบาที่สุดด้วยค่ะ

พราะฉะนั้น แป้งสาลี เลยทานได้ แต่ถ้าจะเอามาทำเบเกอรี่ ต้องดูที่ส่วนผสมอื่น ๆ ประกอบด้วยนะคะ

เช่น ไข่แดง ผงฟู และสารเติมแต่งอื่น ๆ ที่จะต้องควบคุมปริมาณด้วย


ถ้าไม่ดูตรงส่วนนี้ ก็จะมีปริมาณฟอสฟอรัส ที่สูงอยู่ค่ะ เราเลยเข้าใจกันมาตลอดว่า ห้ามกินพวกเบเกอรี่ เพราะเบเกอรี่ที่ขายทั่ว ๆ ไป

คนขายเขาไม่ได้ควบคุมฟอสฟอรัส ให้ผู้ป่วย เนื่องจากคนปกติกินฟอสฟอรัสได้ เพราะไตยังขับออกไปได้นั่นเองค่ะ


**แป้งสาลีเอนกประสงค์ มีปริมาณฟอสฟอรัสขึ้นกับชนิดของพันธุ์ข้าวสาลีของแต่ละประเทศ

โดยเฉลี่ยแล้ว แป้ง 1 กรัม จะมีฟอสฟอรัสประมาณ 1 กรัม เลยจำกัดจำนวนชิ้นของขนมที่เรากิน

ถ้ากินน้อย ฟอสฟอรัสก็จะต่ำค่ะ

4.ชาและกาแฟ (Coffee and Tea)


สำหรับ ชา และ กาแฟ มีจุดร่วมก็คือ ผู้ป่วยไตเสื่อม สามารถทานได้ค่ะ แต่ต้องเป็นแบบที่ไม่ใส่นม ไม่ใช่ 3 in 1 และ ไม่ใช่แบบชงใส่ขวดสำเร็จรูป


จริงๆแล้ว กาแฟ ที่เป็นกาแฟดำ หรือโอเลี้ยง สามารถทานได้ ส่วนชา ก็ควรเป็นชาที่ใส่น้ำร้อนแล้วเป็นถุงแช่

แบบในภาพประกอบนะคะ เพราะ 2 อย่างนี้จริง ๆแล้ว  มีปริมาณฟอสฟอรัสต่ำ เพียงแต่ที่เราเข้าใจกัน ว่ามี ฟอสฟอรัสสูง สูงเพราะมีการใส่นม และสารปรุงแต่ง

ส่วนใหญ่ที่เราเคยได้ยินกันก็คือ ห้ามกินเลย เพื่อความปลอดภัยที่สุด ..แต่ถ้าใครชอบกิน ก็กินตามที่แนะนำนี้ได้นะคะ

ยกเว้นผู้ที่ปัญหาฟอสฟอรัสในเลือดสูงมาก ๆ อันนี้ก็ควรลดไปก่อนน๊าา


**ผงกาแฟ 2 g. มีฟอสฟอรัส 6 mg.

5.ซอสถั่วเหลือง (Soy Sauase)


เครื่องปรุงที่แนะนำมากที่สุด สำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม เลยค่ะ เพราะนอกจากจะให้ความเค็มเทียบเท่าน้ำปลา หรือซีอิ๊วขาวแล้ว ยังมีปริมาณโซเดียม ที่ต่ำกว่าน้ำปลาครึ่งนึงเลยค่ะ  มีผู้ป่วยหลายคนคิดว่า

ซอสถั่วเหลือง ก็มาจากถั่วสิ กินได้หรอ วันนี้อ้อมบอกเลยค่ะว่า กินได้แน่นอน


โดยมื้อนึง จะแนะนำให้ใช้ปรุงรส สัก 2-3 ช้อนชาค่ะ


6.ขนมปัง (Bread)


"ขนมปัง" น่าจะเป็นของโปรดของใครหลาย ๆ คนเลย ขนมปังที่แนะนำ จะเป็นขนมปังแผ่นสีขาว
วันนึงกินได้ 1-2 แผ่น และสามารถทาเป็นพวกแยมผลไม้ตามชอบเลยค่ะ

แต่กลุ่มขนมปังมีไส้ และโฮลวีท จะฟอสฟอรัสสูง ไม่แนะนำนะคะ


เมื่อววันใด มื้อใด เบื่อข้าว ก็หันมากินเป็นนมปังแผ่นสีขาวแทนได้ค่ะ



ในทางกระบวนการทำขนมปังที่จากที่อ้อมศึกษามา รวมถึงนักกำหนดอาหารในโรงพยาบาลเอง

ก็คนคอนเฟิร์มมา 100% ค่ะว่า ผู้ป่วยโรคไตเสื่อม กินขนมปังขาวได้ค่ะ



**ขนมปังแผ่น สีขาว 1 แผ่น มีฟอสฟอรัส 25 mg. (ถ้าฟอสฟอรัสต่ำ ค่าจะไม่เกิน 50 mg.)



ครบแล้วค่ะ กับ 6 อาหารยอดฮิต สำหรับปู้ป่วยไตเสื่อม เข้าใจผิด คิดว่ากินไม่ได้

สุดท้ายนี้ อ้อมอยากจะฝากไว้ว่า การกินอาหารต้องกินพอเหมาะ พอดี จนเกิดโรค

และกิน สลับอาหารบ้าง ไม่กินอย่างเดียวซ้ำนาน ๆ ไม่กินบางอย่างมากเกินไป

รับรองว่า สุขภาพและผลเลือดคุณจะดีแน่นอน

=================

***เพราะเราอยากเห็นคนไทยมีสุขภาพดี***

ปรับสมดุลในเลือด  ไม่ให้เหนียวหนืด เลือด ไหลเวียนคล่อง  

"ความเชื่อจากจิตใจที่เข้มแข็ง

จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้แน่นอนคะ"
ตับไตหัวใจ  ดี  ฟื้นฟูได้

===============

ไตเสื่อม ฟอกไต ล้างไต อาการโรคไต 
โรคไตเสื่อม ดูแลยังไง เกิดจากอะไร 
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ


โภชนาการสำหรับผู้ป่วย ไตเสื่อม

ความสำคัญของการควบคุมอาหาร

การควบคุมอาหารมีความสำคัญต่อผู้ที่มีภาวะไตวายเรื้อรัง หรือ ไตเสื่อมเรื้อรัง เพราะจะช่วยให้

  1. ชะลอการเสื่อมของไต
  2. ยืดเวลาที่จะต้องล้างไตให้ช้าลง
  3. ลดภาระการทำงานของไตในการขับถ่ายของเสีย
  4. ทำให้ไตส่วนที่เหลืออยู่ไม่ต้องทำงานหนักเกินตัว
  5. ลดการคั่งของของเสียที่เกิดจากการรับประทานอาหาร
  6. ป้องกันภาวะขาดสารอาหาร
  7. ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

สารอาหารที่มีผลต่อไต

ผู้ป่วย ไตเสื่อม ควรจำกัดและหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เนื่องจากเมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ การได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ และร่างกายมีการสะสมของเสียมากเกินไป


กลุ่ม โซเดียม ร่างกายต้องการโซเดียมในปริมาณเล็กน้อยเพื่อควบคุมความดันโลหิต แต่เมื่อ ไตเสื่อม ร่างกายจะไม่สามารถกำจัดโซเดียมส่วนเกินออกไปได้ ก็จะทำให้เกิดอาการ ดังนี้

  1. มีน้ำคั่งและเกิดอาการบวม 
  2. มีความดันโลหิตสูง 
  3. มีน้ำท่วมปอด 
  4. และอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้

และเมื่อไตเสื่อม ก็จะทำให้ ผู้ป่วยไตเสื่อม ไม่สามารถ ทานอาหารได้เหมือนเดิมอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ 
       
อาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น ปลาเค็ม แฮม เบคอน ใส้กอก อาหารดอง ขนมขบเคี้ยว เนยแข็ง 
และอีกกลุ่ม อาหารรสจืดแต่มีโซเดียม เป็นส่วนประกอบ เช่น ขนมปังเนื่องจากมีการใช้ผงฟู





กลุ่ม โพแทสเซียม เป็นเกลือแร่ที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อและประสาทเป็นไปตามปกติ 
เมื่อไตทำงานลดลง การขับโพแทสเซียม ทางปัสสาวะก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ทำให้เกิดการสะสมของโพแทสเซียม 
ถ้ามีโพแทสเซียมสูง ผู้ป่วยไตเสื่อม ก็จะเริ่มมีอาการ ดังนี้
  1. กล้ามเนื้ออ่อนแรง 
  2. เป็นตะคริว 
  3. หัวใจเต้นผิดปกติได้ 
ผู้ป่วย ไตเสื่อมระยะเริ่มต้นและปานกลาง ซึ่งไตยังพอขับถ่ายของเสียได้ดี มีปัสสาวะจำนวนมากและระดับของโพแทสเซียมในเลือดไม่สูงมาก สามารถรับประทานผักและผลไม้ได้โดยไม่ต้องจำกัด
แต่สำหรับผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย ที่มีระดับโพแทสเซียมในเลือดสูงกว่า 5.0 มก./ดล.
ควรควบคุมปริมาณผักและผลไม้
โดยเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมต่ำได้วันละ 1-2 ครั้ง
       
กลุ่มที่มีโพแทสเซียมต่ำ เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ แตงกวา ผักกาดหอม ถั่วงอก องุ่น สับปะรด เป็นต้น

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง
เช่น ผลไม้แห้งทุกชนิด ทุเรียน มะขาม แคนตาลูป น้ำลูกยอ มะเขือเทศ ผักใบเขียว หัวผักกาด กล้วย ส้ม มะละกอ ขนุน เป็นต้น

กลุ่ม ฟอสฟอรัส เมื่อไตวาย ร่างกายจะมีปัญหาการดูดซึมแคลเซียม และการกำจัดฟอสฟอรัส จะทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมน้อย และมีฟอสฟอรัสในเลือดมากเกินไป

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ รำข้าว เนยแข็ง นมและผลิตภัณฑ์จากนม นมข้นหวาน ไข่ปลา ไข่แดง กุ้ง ปู ผลิตภัณฑ์ที่ใส่ผงฟู ถั่วเมล็ดแห้ง น้ำอัดลมสีดำ เป็นต้น

กลุ่ม โปรตีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ผู้ป่วยไตเสื่อม ก็ยังต้องรับประทานอาหารที่ให้โปรตีน แต่ควรจำกัดปริมาณอาหารที่มีโปรตีนสูง ทั้งจากพืชและเนื้อสัตว์ ไม่ให้มากเกินไป เพื่อเป็นการลดการทำงานของไต

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ หนังหมู หนังเป็ดและไก่ เนื้อหมูและเนื้อวัวติดมัน ซี่โครงหมูที่ติดมันมาก หมูหัน เป็ดปักกิ่ง หมูสามชั้น หมูกรอบ เป็ดย่าง ห่านพะโล้ ไข่ปลา ไข่กุ้ง 

และ เนื้อสัตว์ที่มีกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ ซึ่งทำให้ไตทำงานขับถ่ายของเสียหนักขึ้น เช่น เอ็นหมู เอ็นวัว เอ็นไก่ หูฉลาม ตีนเป็ด ตีนไก่ หนังสัตว์ กระดูกอ่อน รวมทั้งถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และขนม อาหารที่มีไส้ถั่ว

ข้อควรปฏิบัติ

ควรรับประทานอาหารให้หลากหลายในแต่ละมื้ออาหารและครอบคลุมกลุ่มข้าว เนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้

ผู้มีภาวะไตเรื้อรังห้ามใช้ซอสปรุงรสเทียม เกลือเทียม ซีอิ๊วเทียม น้ำปลาเทียม หากต้องการเพิ่มรสชาติอาหารให้ใช้เครื่องเทศแทน


ด้วยความห่วงใจจากเราคะ

--------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ

ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ



ปัสสาวะเป็นฟอง ต้องระวัง !! อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณ ของอาการ  " ไตเสื่อม "




ไตเสื่อม ส่งผลยังไงบ้าง ?

ปล่อยให้ไตเสื่อมไปนานๆ จนมีอาการ
  1. ตัวบวม ขาบวม
  2. น้ำท่วมปอด เหนื่อยง่าย
  3. ไม่อยากทานข้าว
  4. นอนติดเตียง




สุดท้าย ไตวายเฉียบพลัน อาจโดน --> ฟอกไต ได้นะคะ

ใครๆก็ไม่อยาก ฟอกไต
เรามาเริ่มสำรวจตัวเองกันเลยค่ะ

เราจะทราบได้อย่างไร ว่าไตเริ่มเสื่อม ?

✔ฟองมีลักษณะคล้ายฟองเบียร์ หรือฟองสบู่เป็นฟองขุ่นๆ

✔ปัสสาวะมีไขสีขาวออกมา แสดงว่ามีไข่ขาว หรือโปรตีนรั่ว อาจเป็นไตวาย

✔ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อปัสสาวะ

✔มีอาการปวดหลังปวดเอว อ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่มีเรี่ยวแรง วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ปวดศรีษะเบื่ออาหาร

✔ ทานยา โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือด เป็นประจำ ระวังยาเคมีลงไต

 ขอให้สันนิษฐานไว้เลยว่า อาจจะเป็น โรคไต!!

🔶 เพราะ "ไต" มีหน้าที่กรองเลือด ที่ไหลเวียนผ่านมาเพื่อขับของเสีย
และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย ในรูปแบบของปัสสาวะ

เมื่อไตมีการอักเสบเกิดขึ้น จะทำให้การกรองเลือดที่ไหลเวียน ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

ส่งผลทำให้มี โปรตีน และ เม็ดเลือดแดง
รั่วออกออกมาในปัสสาวะ
   
🔶 ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น หากสังเกต เริ่มการรักษาที่ถูกวิธี
สามารถชะลอการลุกลามไตเสื่อม ไม่ให้พัฒนาไปเป็นโรคไตเรื้อรัง ระยะสุดท้ายได้นะคะ

ด้วยความห่วงใจจากเราคะ

--------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ

ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ



เมื่อฤดูร้อนมาถึง ราชาของผลไม้ "ทุเรียน" ก็มาแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น ไอศกรีมทุเรียน ทุเรียนอบกรอบ ทุเรียนทอด ทุเรียนสดๆ
เค้กทุเรียน บิงซูทุเรียน ทุเรียนอบแห้ง และอื่น ๆ อีกเต็มไปหมด
แล้วแบบนี้คนที่ชอบกินทุเรียน จะอดใจไหวกันได้ยังไงละคะ

ซึ่งตอนนี้ เราไปที่ไหน ก็จะเห็นทุเรียนวางขายเต็มไปหมด เลยคะ?

แต่ แต่ สำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม ก็คงอยากกิน แต่ก็ถูกห้ามเพราะคนรอบข้างก็เตือน ว่าอย่าไปกินนะ เพราะมันอันตรายผู้ป่วยไตเสื่อม คงสงสัย ว่าอันตรายอย่างไร? ทำไมถึงกินไม่ได้?



นางกุลพร สุขุมาลตระกูล นักวิชาการโภชนาการชำนาญการพิเศษ สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กล่าวว่า อากาศร้อนๆ การทานทุเรียนเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง แม้ทุเรียนจะมีสารอาหารมากมาย ทั้งวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร แต่ก็มีกำมะถัน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาลในปริมาณมาก

ทำให้เมื่อกินทุเรียน ร่างกายจึงได้รับพลังงานสูง ปัจจุบันมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร จัดบุฟเฟต์ผลไม้ มีทุเรียนเป็นจุดขาย ดังนั้น การกินทุเรียนให้มีสุขภาพดี จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจที่จะดูแลตนเองด้วย โดยเริ่มที่หากกินทุเรียนครึ่งเม็ดกลาง ร่างกายจะได้รับพลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี เทียบกับกินข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน หรือเท่ากับกินก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นเล็กน้ำ 1 ชาม หรือเท่ากับข้าว ราดแกงส้มผักรวม 1 จาน

นอกจากนี้ นางกุลพร ยังได้กล่าวเพิ่มเติม อีกว่า เมื่อเรากินทุเรียน 1 เม็ดกลางจะได้รับค่าน้ำตาล สูงถึง 4 ช้อนชา และน้ำมันถึง 3 ช้อนชา แล้ว เปรียบกับผู้ชายและผู้หญิงวัยทำงานแล้ว ควรจะได้ค่าน้ำตาลเฉลี่ยต่อวันที่ 6 และ 4 ช้อนชาตามลำดับ จึงทำให้ไม่เหมาะกับผู้ที่จะรับประทานรสหวาน

นอกจากนี้ ผู้ป่วยเบาหวาน กับ หลอดเลือดหัวใจ นั้น ควรจะรับประทานให้น้อยที่สุด หรือ นานๆ กินสักครั้งพอได้ แต่สำหรับผู้ป่วยไตเสื่อมแล้ว ถือว่าอันตรายอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งพลังงานสูง น้ำตาลสูง ไขมันสูง โพแทสเซียมสูง ซึ่ง ผู้ป่วยไตเสื่อม ที่กินทุเรียนเข้าไปแล้ว อาจเสี่ยงทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ เนื่อง จากมีโพแทสเซียมที่สูง มากเกินไป ฉนั้นแล้ว ผู้ป่วยไตเสื่อม ต้องระวังเรื่องการกินให้มากกว่าคนปกติทั่วไป นะคะ

*** ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายซึ่งมีระดับโปแตสเซียมในเลือดสูงกว่า 5.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรงดผลไม้ทุกชนิด

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่า ผลไม้ชนิดไหนบ้างที่มีโพแทสเซียมสูง
ผลไม้ที่เรียกได้ว่า มีโปแทสเซียมสูง คือ ผลไม้ที่มีค่าตั้งแต่ 201 – 450 มิลลิกรัม ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วทุเรียน 100 กรัม (หรือ 1-2 พูเล็ก) จะมีโพแทสเซียมระหว่าง 400-680 มิลลิกรัม (แล้วแต่พันธุ์) และใน 1 วันผู้ป่วยไตเสื่อม ควรได้รับโพแทสเซียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม แค่ทุเรียน 1 พูก็ ประมาณ 25% ของวันแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากกินมากจริง ๆ นะคะ ขอแค่ “ชิมก็พอ” แค่ให้รู้รสชาด เพราะถ้ากินมากไป และ มีโพแทสเซียม ในเลือดสูงมาก จะส่งผลต่อหัวใจโดยตรง อันตรายถึงชีวิตเลยค่ะ
ตารางแสดงปริมาณโพแทสเซียม ใน ผัก ผลไม้แต่ละชนิด

**แต่ถ้าไม่อยาก หรืออดใจไหว ก็หันไปทานอย่างอื่นดีกว่าค่ะ บางคนกินนิดเดียวก็อาจแสดงอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออกได้เลย (แต่ละคนอาการเกิดช้าเร็วต่างกัน ขึ้นกับผลเลือดและความแข็งแรงของร่างกายค่ะ)

สรุปแล้ว ถึงทุเรียน จะเป็นผลไม้ที่คุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย แต่สำหรับคนที่เป็นผู้ป่วยไตเสื่อม ก็ควรระวัง “ชิมแค่นิด ๆ หน่อย ๆ พอค่ะ เพื่อความปลอดภัย”

เชื่อว่า หลายคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงเข้าใจขึ้นแล้ว ว่า จริง ๆ ก็กินทุเรียนได้ เพียงแต่กินได้ในปริมาณที่น้อยมาก ๆ และไม่ควรกินบ่อยด้วย ค่ะ

ทางที่ดี ที่สุด หันไปกินผลไม้ที่เหลืออีก หลายชนิด ที่เหมาะสม กินแล้วไม่เสี่ยงอันตราย จะดีกว่านะคะ เป็นยังไงกันบ้างคะ กับ เหตุผลว่า ทำไมผู้ป่วยไตเสื่อม ถึงห้ามกินทุเรียน ?

“จริง ๆ แล้วผู้ป่วยไตเสื่อม สามารถกินอาหารได้เกือบทุกอย่างล่ะค่ะ เพียงแค่ จำกัดปริมาณที่กิน และปรับเปลี่ยนการกินให้สอดคล้องกับผลเลือดของผู้ป่วย เน้นย้ำว่า ผลเลือดของผู้ป่วยเอง นะคะ อย่ามองว่า คนอื่นทำไมกินได้ เรากินไม่ได้ แบบนี้จะเป็นทุกข์มาก ๆ เลยค่ะ”

ขอให้ทุกคนมีความสุขและแข็งแรง ๆ กันถ้วนหน้า นะคะ

ด้วยความห่วงใจจากเราคะ
--------
#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #บำรุงตับไต

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com

คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
ถ้าบทความนี้ดี อย่าลืมแชร์ให้เพื่อน ๆ หรือ คนที่คุณรัก ด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ

ข้อมูลอ้างอิง : kidneymeal, Sanook, ข่าวสด
รูปภาพ : pixabay, google


วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2561

วันนี้ อ้อมมีเรื่องอาหารมาฝากค่ะ ซึ่งเรื่อง อาหาร เป็น ตัวแปร สำคัญสำหรับผู้ป่วยไตเสื่อม

และถ้า ท่านใด มีญาติ หรือ คนในครอบครัว เป็นไตเสื่่อม ไตวายเรื้อรัง
เราควร จะดูแลเรื่องอาหารให้ผู้ป่วยทานนะคะ
เพราะอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วยไตเสื่่อมเลยค่ะ
โดยรวมก็คือ งดอาหารที่มีโปรตีน ฟอสฟอรัส โพแตสเซียม สูง ค่ะ

ก็จะมีประมาณนี้ค่ะ (ข้อมูลนี้ตามที่นักโภชนาการของโรงพยาบาลที่คนรู้จักแนะนำมาค่ะ)
มาดูกันเลยค่ะ

หมวดของ ข้าว :
ให้ทานข้าวธรรมดา ข้าวขาวๆ เลยนะคะ ถ้าอยากทานขนมปังก็เป็นขนมปังขาว
งดพวกข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เพราะมีฟอสฟอรัสสูง ค่ะ 
เมื่อไตเสื่อม ไตก็ จะไม่สามารถขับออกไปได้ ก็จะเป็นอันตรายค่ะ

หมวดของ น้ำ :
ดื่มน้ำเปล่า เลยนะคะ ประมาณ 1-1.5 ลิตร ต่อวัน (จริงๆแล้วควรตวงปัสสาวะ แล้วดื่มน้ำให้ได้ปริมาณมากกว่าที่ร่างกายขับออกมานิดหน่อยค่ะ)
พวกน้ำอัดลมสีเข้มๆ โคล่า กาแฟ งดค่ะ

หมวดของ เกลือ :
พยายามเลี่ยง แต่ก็สามารถทานได้เล็กน้อยค่ะ  เกลือไม่เกิน 1 ช้อนชาต่อวัน
แต่ถ้าพวกน้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรสไม่เกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อวัน
(เลือกแค่อย่างเดียวนะคะ) ถ้ากลัวจืดไป ก็เอารสอื่นมาใช้แทน อย่างเปรี้ยว หวาน(อย่าจัด) เผ็ด
     
ถ้าเป็นเมนูก็จะประมาณ ปลานึ่งราดซอสเปรี้ยวหวาน ปลานึ่งมะนาว ยำไข่ขาวค่ะ

หมวดของ โปรตีน: 
ทานเนื้อสัตว์ได้ แต่อย่าเยอะ มื้อละประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ เน้นปลากับไข่ขาวเป็นหลัก ไข่แดงทานได้บ้าง 1-2ฟองต่อสัปดาห์

มังสวิรัติไม่จำเป็นเลยค่ะ ควบคุมไม่ดีอาจทำให้เป็นโรคขาดโปรตีน ขาดสารอาหารนะคะ

หมวดของ ผัก-ผลไม้ :
ผัก ผลไม้ ที่ทานได้บ่อยๆก็เป็น แตงกวา มะระ ฟักเขียว ถั่วงอก หอมใหญ่ เห็ดหูหนู  ผลไม้ก็ แอปเปิ้ล แคนตาลูป สาลี่ แตงโม ชมพู่ เป็นต้น คือพยายามเลี่ยงผักผลไม้ที่มีโพแทสเซี่ยมสูงค่ะ (จะเป็นผลไม้พวกที่มีสีเขียวเข้มๆ เหลืองเข้มๆ)

หมวดอื่นๆ :
พยายามงดพวกอาหารแปรรูป เช่น ลูกชิ้น กุนเชียง หมูแผ่น ขนมขบเคี้ยวที่เป็นซองๆ เพราะพวกนี้ส่วนมากมีโซเดียมสูงค่ะ
       
ขนมที่ทานได้ก็พวกวุ้น สาคู สลิ่ม พวกที่ทำจากแป้งปลอดโปรตีนอะค่ะ (สังเกตง่ายๆคือเวลาสุกจะเป็นแป้งใสๆ)
       
ถ้าทำอาหารเองให้ใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนล่า แทนน้ำมันทั่วไปค่ะ

พวกน้ำปลาลดโซเดียมก็ไม่ควรใช้ค่ะ เพราะเค้าแทนโซเดียมด้วยโปแตสเซียม ยังไงก็อันตรายสำหรับผู้ป่วยโรคไตอยู่ดีค่ะ 

==================

หลักๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ  สำหรับผู้ป่วย ทุกท่านก็อย่าเพิ่งหมดกำลังใจนะคะ ไม่ยากเลยค่ะ
ที่จริงแล้วเราก็แค่เปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารนิดหน่อยเองค่ะ

พยายามอย่าไปคิดว่าเค้าห้ามทานอะไรบ้าง มองแค่ว่าอะไรที่เราควรทานจะดีกว่า
จะได้ไม่เป็นการกดดันเกินไป

(เพราะบางอย่างที่ห้าม แล้วเผลอทานไปก็ไม่ได้อันตรายร้ายแรงอะไร ถ้าไม่ได้ทานมากๆ บ่อยๆ ค่ะ)

อ้อม ว่าเราปรับการทานนิดหน่อย ก็เหมือนใช้ชีวิตปกติทั่วไปค่ะ มองโลกในแง่ดีเข้าไว้ค่ะ สู้ๆ นะคะ

ด้วยความห่วงใจจากเราคะ

--------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ


วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2561


ไขมันในช่องท้อง อ้วนผอม ก็เป็นได้

ไขมันในช่องท้อง เป็นสาเหตุหลักทำให้หน้าท้องยื่น ป่อง ไม่ว่าเราจะอ้วนหรือผอมก็มีความเสื่ยงที่จะมีไขมันในช่องท้องได้
.
ไขมันในช่องท้อง เกิดจากการสะสมตัวของสารอาหารประเภทไขมันในอาหารที่ร่างกายเผาผลาญเป็นพลังงานไม่หมด ทำให้ไปเกาะอยู่ตามบริเวณระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องในลักษณะแทรกตัวอยู่ตามเนื้อเยื่อของเซลล์ต่าง ๆ
.
ฉะนั้นเมื่อมองจากภายนอกแล้วเห็นเป็นหน้าท้องยื่นป่องออกมา แต่ถ้าหาก ลองอัลตร้าซาวด์ดูจะพบว่าอวัยวะภายในถูกห่อหุ้มไว้ด้วยถุงไขมันสีเหลือง

ไขมันในช่องท้อง เป็นไขมันที่อันตรายมากเมื่อเทียบกับไขมันบริเวณอื่นของร่างกาย เพราะไขมันชนิดนี้จะสลายตัวเป็นกรดไขมันอิสระ สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ ดังเช่นการไปสะสมที่ตับจนเกิดภาวะไขมันพอกตับ เป็นต้น
.
นอกจากนี้ไขมันในช่องท้อง ยังเผาผลาญออกให้หมดยากกว่าไขมันในบริเวณอื่นด้วย ผลเสียที่ตามมาอีกอย่างหนึ่งคือ กรดไขมันอิสระในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้นจะไปยับยั้งกระบวนการเผาผลาญของกลูโคสที่กล้ามเนื้อ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ความดันโลหิตสูง
.
จะเห็นได้ว่าไขมันในช่องท้องอาจวัดไม่ได้ด้วยตาเปล่าเสมอไป จึงต้องไปรับการตรวจเช็คเพื่อประเมิณประมาณไขมันจะได้แก้ไขได้ทันท่วงที่ก่อนที่จะเกิดโรคร้ายต่างๆเพิ่มขึ้นนะคะ
.
ด้วยความห่วงใจจากเราคะ

--------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ



#ความดันสูง ต้องระวัง !!อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณของอาการ  " ไตเสื่อม "

=================

ไตเสื่อม ส่งผลยังไงบ้าง ?

ปล่อยให้ไตเสื่อมไปนานๆ
ตัวบวม ขาบวม
น้ำท่วมปอด เหนื่อยง่าย
ไม่อยากทานข้าว
นอนติดเตียง

สุดท้าย ไตวายเฉียบพลัน

อาจโดน --> ฟอกไต

:

ใครๆ ก็ไม่อยาก ฟอกไต
เรามาเริ่มสำรวจตัวเองกันเลยค่ะ

:
เราจะทราบได้อย่างไร ว่าไตเริ่มเสื่อม ?

✔ปัสสาวะมีฟอง มีลักษณะคล้ายฟองเบียร์
หรือฟองสบู่เป็นฟองขุ่นๆ

✔ ปัสสาวะมีไขสีขาวออกมา
แสดงว่ามีไข่ขาว หรือโปรตีนรั่ว
อาจเป็นไตวาย

✔ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ต้องตื่นมากลางดึกเพื่อปัสสาวะ

✔มีอาการปวดหลังปวดเอว อ่อนเพลียเรื้อรัง
ไม่มีเรี่ยวแรง วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย
ปวดศรีษะเบื่ออาหาร

✔ ทานยา โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
 หัวใจและหลอดเลือด เป็นประจำ
 ระวังยาเคมีลงไต

 ขอให้สันนิษฐานไว้เลยว่า อาจจะเป็น โรคไต!!

🔶 เพราะ "ไต" มีหน้าที่กรองเลือด
ที่ไหลเวียนผ่านมาเพื่อขับของเสีย
และน้ำส่วนเกินออกจากร่างกาย
ในรูปแบบของปัสสาวะ

เมื่อไตมีการอักเสบเกิดขึ้น
จะทำให้การกรองเลือดที่ไหลเวียน
ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

ส่งผลทำให้มี โปรตีน และ เม็ดเลือดแดง
รั่วออกออกมาในปัสสาวะ

🔶 ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างต้น
หากสังเกต เริ่มการรักษาที่ถูกวิธี
สามารถชะลอการลุกลามไตเสื่อม
ไม่ให้พัฒนาไปเป็นโรคไตเรื้อรัง
ระยะสุดท้ายได้นะคะ

--------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561

5 เหตุผลที่ควรเลือก ทาน UMI (อูมิ) เพื่อฟื้นฟูบำรุงสุขภาพ?


5 เหตุผลที่ควรเลือก
ทาน UMI (อูมิ) เพื่อฟื้นฟูบำรุงสุขภาพ?

 " ได้กิน ได้ใช้ ได้ผล ปลอดภัย และ คุ้มค่า " 


1.ได้กิน :: 

คุณลูกค้าได้กินจริง รสชาติทานง่ายมาก
ที่สำคัญทานได้ทั้ง ป่วย และไม่ป่วย

คนป่วย คือ ทานเพื่อฟื้นฟู บำบัด ทานง่ายมาก
คนปกติ คือ ทานเพื่อบำรุงได้ทุกวัน

UMI (อูมิ) รูปแบบเจลทานง่ายแค่เด็ดและดูด
ซองเล็กๆพกพาง่าย  เป็นรสชาติแอบเปิ้ลเขียว
เปรี้ยวๆ อร่อยๆ ทำให้ลูกค้าได้ทานจริง
ได้ทุกวัน ไม่มีเบื่อ


2.ได้ใช้ ::

UMI (อูมิ) เป็นผู้นำเจ้าแรกของโลก
ที่คิดค้น นวัตกรรม เจล ซึ่งสามารถ
นำพาสารอาหารเข้าสู่เซลล์
และสารอาหารมีการดูดซึม
ที่เร็วกว่าและมากกว่า
เข้าสู่ร่างกายภายใน 3-15 นาที
ร่างกายได้ดูดซึมนำไปใช้งานได้จริง
จึงทำให้ผู้ที่มีอาการของโรคต่างๆดีขึ้นในเวลารวดเร็ว


3.ได้ผล :: 

UMI (อูมิ) จำหน่ายในไทยมานาน 10 ปี

มีผู้ใช้ต่อเนื่อง เห็นผล มีผลลัพธ์ดี มากมายนับหมื่นคน

ดูแลได้คลอบคลุมโรคความเสื่อมมากมาย

เบาหวาน ไตเสื่อม เนื้อร้าย เพิ่มภูมิต้านทานได้ดี

ศึกษาได้จากเว็บไซต์ได้เลยคะ



4.ปลอดภัย ::

UMI (อูมิ) ผ่านอย. ไทย และ ต่างประเทศ

UMI (อูมิ) ผลิตและนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา

UMI (อูมิ) ปลอดภัย สกัดจากธรรมชาติ ไม่ตกค้าง

UMI (อูมิ) ในไทยจำหน่ายมานานเกือบ 10 ปี




5.คุ้มค่า ::

UMI (อูมิ) ออกแบบมาให้ทานอร่อยเหมือนขนม
แต่ออกฤทธิ์ฟื้นฟูบำบัดได้ดีเยี่ยม

รูปแอปเปิ้ลเขียวหน้าซองคือรสชาตินะคะ
เปรี้ยวๆ อร่อยๆ ทานง่าย ทานสะดวก ได้ทานจริงทุกวัน
ไม่เบื่อ ชวนกิน แถมได้ผลลัพธ์ดี และรวดเร็ว




สำหรับผู้ป่วยการทาน UMI (อูมิ) ช่วยให้จิตใจดีขึ้นมากเลยคะ
โดยปกติคนป่วยต้องทานยาเป็นกำๆอยู่แล้ว
จะทานอาหารเสริมทั้งทียังเป็นเม็ดอีก คิดแล้วเหนื่อยแทนคะ

การเลือก UMI (อูมิ) เป็นอาหารเสริมสำคัญ
ในการฟื้นฟูสุขภาพ จึงเป็นคำตอบ

สำหรับคนปกติที่รักสุขภาพหลายท่าน
เคยเจอเหตุการณ์ แบบอยากดูแลสุขภาพ
แต่ต้องหอบอาหารเสริม เป็นกระปุกไปเยอะๆ
ทานทีละ 10กว่าเม็ดต่อวัน
บางท่านก็ลืมทาน ไม่อยากทาน ทรมาน
ขยันทำได้แค่พักๆ สัก 1 อาทิตย์ จากนั้นก็วางไว้บนหลังตู้เย็น
หรือลืมไว้ในตู้เย็น พอเวลาผ่านไป
กลับมาดู อ้าว !! หมดอายุไปแล้ว
ซื้อมาตั้งหลายพัน (เศร้าเลย)

UMI (อูมิ) จึงเป็นคำตอบง่ายๆ ในการดูแลสุขภาพ

---------

#ดูแลสุขภาพ #ฟื้นฟูร่างกาย #ห่างไกลโรค

สอบถามสุขภาพ และ รับข้อมูลดีๆ
ศึกษาเพิ่มเติม คลิ๊ก http://www.hrtexo.com


คลิ๊กที่ลิงค์เพื่อแอดไลน์อัตโนมัติรับข้อมูลสุขภาพดีๆได้เลยค่ะ line://ti/p/@gelhappylife
อย่าลืมแชร์บทความนี้ให้เพื่อน ๆ ด้วยนะค๊าา ขอบคุณมากค่ะ